เปิดประวัติ พ.ต.อ.สิงห์ สิงห์เดช เพชรเม็ดงามวงการสีกากี..ผู้กำกับคนดังที่กำลังถูกกล่าวขานถึงภาพถ่ายกับ“เสก โลโซ”
กะฉ่อนวาไรตี้
วินาทีนี้ ต้องยอมรับว่า พ.ต.อ.สิงห์ สิงห์เดช ผกก.สน.คันนายาว กำลังเป็นนายตำรวจชื่อดัง ซึ่งเป็นผลพวงมาจากการที่นำกำลังตำรวจเข้าไปบุกจับ “เสก โลโซ”ถึงที่บ้าน ทำให้ได้รับการยกย่องถึงการปฏิบัติหน้าที่แบบเฉียบขาด แต่พอไปถ่ายรูปกับร็อกเกอร์เสก ในภาพลักษณ์ที่เหมือนจะเป็นมิตรกับผู้ต้องหา จึงกลายเป็นโดนฟ้าผ่าอย่างแรง ถูกเรียกสอบถึงความไม่เหมาะสมของการปฏิบัติหน้าที่
เรียกได้ว่า ทั้งหัวทั้งก้อย ออกมาในเวลาไล่เลี่ยกัน แต่ธรรมดาของคนเสพสื่อ ข่าวที่ติดลบมักได้รับความสนใจมากกว่า โดยเฉพาะเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจ จึงทำให้ พ.ต.อ.สิงห์ สิงห์เดช ถูกพิพากษาจากสังคมไปครึ่งหนึ่งทันที ซึ่งเรื่องนี้คงต้องดูกันในระยะยาวต่อไป เพราะยังอยู่ในขั้นการสอบ พ.ต.อ.สิงห์ สิงห์เดช
การเป็นนายตำรวจระดับผู้กำกับ คงไม่ใช่เพราะโชคช่วย หรือจับฉลากได้ แต่ทุกอย่างต้องแลกมาด้วยผลงานอันเป็นพึงพอใจของประชาชน เราลองมาย้อนดูประวัติของ พ.ต.อ.สิงห์ สิงห์เดช ผู้กำกับคนดังกันบ้าง
พ.ต.อ.สิงห์ สิงห์เดช อายุ 48 ปี ชาว อ.หนองแค จ.สระบุรี จบจาก นักเรียนเตรียมทหารรุ่น 30 นักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่น 46 เริ่มรับราชการครั้งแรก ปี2536 ในตำแหน่ง รองสว.ประจำโรงเรียนนายร้อยตำรวจ ปลายปี2536 ดำรงตำแหน่ง รอง สว.สส. สน.ดอนเมือง ปี2539 ดำรงตำแหน่ง รองสว.สส. สน.สายไหม ปี2540 ดำรงตำแหน่ง สวป. สน.บางเขน ปี2543-2547 ดำรงตำแหน่ง พงส. สน.บางเขน ปี2548 ดำรงตำแหน่ง พงส.บก.ป. ปี2555 ดำรงตำแหน่ง พงส.ผนพ.กก.2 บก.ป. ปี 2559 ดำรงตำแหน่ง พงส.ผท.ค.สน.บางเขน ปี2559 ดำรงตำแหน่ง ผกก.(สอบสวน) สน.บางเขน กลางปี2559 ดำรงตำแหน่ง ผกก(สอบสวน)กลุ่มงานสอบสวน บก.สส.บช.น. จนกระทั่งปลายปี2559 ดำรงตำแหน่ง ผกก.สน.คันนายาว จนปัจจุบัน
พ.ต.อ.สิงห์ สิงห์เดช นับเป็นนายตำรวจที่อยู่เบื้องหลังการปิดคดีสำคัญหลายคดีล้วนเป็นคดีใหญ่ ซึ่งถือเป็นที่ไว้ใจของ พล.ต.อ.วินัย ทองสอง พล.ต.ต.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ พล.ต.ต.อัครเดช พิมลศรี อดีต ผบก.ป. โดยที่โดดเด่นสมัยนั้น ยังคงยศ พ.ต.ท.สิงห์ สิงห์เดช พงส.(สบ 2) กก.2 บก.ป คดีที่สอบสวนจนนำไปสู่การจับกุมผู้ต้องหารายสำคัญได้แก่
ปี 2553 ร่วมจับกุม นายประทีป สกุลเพทายเลิศ อายุ 52 ปี รองผู้อำนวยการ (ระดับ 8) โรงเรียนแห่งหนึ่งใน จ.สระบุรี ในข้อหาข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่นโดยใช้อุบายหลอกลวงและเป็นการกระทำแก่ศิษย์ซึ่งอยู่ในความดูแล พรากผู้เยาว์ และพกพาอาวุธปืนไปในทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร พร้อมของกลางอาวุธปืนขนาด 6.35 มม.พร้อมกระสุน 6 นัด แม็กกาซีน และซองอาวุธปืน จับกุมได้ที่บริเวณโรงเรียนดังกล่าว
ในปี 2555 ตามคำสั่ง พล.ต.ท.วินัย ทองสอง ผบช.ภ.2 ยศสมัยนั้น สามารถปิดคดี จับกุม นายเต็มพงษ์ ฤทธิ์เดช หรือ ส.จ.โต้ง อายุ 36 ปี พร้อมพวก ส.จ.โต้งนั้นเป็น ผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่น ใน จ.ปราจีนบุรี ซึ่งมีอิทธิพล ฮั้วประมูลงาน และยัง ใช้อาวุธปืนข่มขู่และทำร้ายนักการเมืองท้องถิ่น ในพื้นที่ จ.ปราจีนบุรี อีกด้วย
ปี 2555 หลังจาก พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธ์ ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลางในขณะนั้น ได้สั่งการแบบลับๆ ไปยัง พ.ต.อ.อธิป แท่นนิล ผู้กำกับการปฏิบัติการพิเศษ กองปราบปราม ให้เข้าจับกุมตัว นายสมชาย คุณปลื้ม หรือกำนันเป๊าะ เจ้าพ่อภาคตะวันออก ผู้ต้องหา คดีทุจริตที่ดินเขาไม้แก้ว จ.ชลบุรี และคดีจ้างวานฆ่า นายประยูร สิทธิโชติ หรือ กำนันยูร ซึ่งงานนี้เป็นความลับระดับสูงสุด หลังรับคำสั่ง พ.ต.อ.อธิป เริ่มตั้งทีมทำงานขึ้นมาทั้งหมด 30 คน โดยมี พ.ต.อ.สิงห์ สิงห์เดช ร่วมทำการสอบสวน อยู่ในทีมจนสามารถจับกุมปิดคดีได้อย่างสวยงาม
ปี 2557 ปิดคดี พล.ท.มนัส เปาริก หรือ เสธ.หยอย อดีตรองแม่ทัพภาคที่ 3 ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดทหารบกสระบุรี ข้อหาร่วมกันมีอาวุธปืน เครื่องกระสุน หรือวัตถุระเบิดที่ใช้เฉพาะในการสงคราม ที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ไว้ในครอบครอง และ พล.ท.มนัส เป็นผู้จัดหาอาวุธต่างๆให้กลุ่มชายชุดดำ ผู้ต้องหาก่อเหตุใช้อาวุธสงคราม ยิงใส่ทหารและประชาชน ในช่วงการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) บริเวณแยกคอกวัว เขตพระนคร เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553
ปี 2557 สามารถร่วมปิดคดีแก๊งรัสเซียแฮกข้อมูลธนาคารกรุงไทย จนนำไปสู่การ จับกุมตัว นายฟาริด เอสเซ้บบาร์ อายุ 27 ปี แฮกเกอร์สัญชาติรัสเซีย และพวกรวม 3 คน หลังสำนักงานตำรวจแห่งชาติประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ขอให้ตามดูพฤติกรรมชาวต่างชาติสัญชาติรัสเซียและโมร็อกโกกลุ่มนี้ และคดีนี้เป็นคดีสำคัญ ที่ทางFBI เดินทางมาร่วมทำสำนวนกับทาง เจ้าหน้าที่ตำรวจไทย หลังจากที่ นายฟาริด เคยถูกสำนักงานสอบสวนกลาง (FBI) จับกุมเมื่ออายุ 17 ปี เนื่องจากเข้าไปแฮกข้อมูล ทำให้ถูกดำเนินคดีจำคุก 1 ปี ก่อนปล่อยตัวและกระทำผิดซ้ำ
จากข้อมูลการปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าว จะเห็นได้ว่า พ.ต.อ.สิงห์ สิงห์เดช เป็นผู้ทำงานอยู่เบื้องหลังการจับกุม ปิดคดีสำคัญมากมาย ซึ่งทำงานด้านสอบสวนมาเกือบตลอดทำให้มีความชำนาญในการทำคดี แต่สิ่งสำคัญที่สุด คือ ท่านไม่เคยลืมตัวตนและพยายามสร้างคน สร้างความอบอุ่นทั้งแก่ผู้บังคับบัญชา ผู้ใต้บังคับบัญชา ประชาชน ทุกหมู่เหล่า
ขณะที่ พ.ต.อ.สิงห์ สิงห์เดช ได้มาดำรงตำแหน่ง ผกก.สน.คันนายาว ก็คิดริเริ่มสร้างโครงการต่างๆมากมาย โดยโครงการที่โดเด่นที่สุด คงหนีไม่พ้น โครงการศาสตร์พระราชา ในปี 2560 ที่ผ่านมา ซึ่งได้น้อมนำเอาคำสอนและวิถีพระราชา ของพระบาทสมเด็จพระปรมินมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ มาเผยแพร่และใช้สร้างความสามัคคีแก่ สถานีตำรวจ ประชาชน ชุมชน คือ ศาสตร์พระราชา ด้านเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อให้ทุกคนได้รู้การใช้ชีวิตแบบพอเพียงดำเนินชีวิตอย่างมีความสุข ไม่เป็นหนี้ ศาสตร์พระราชาด้าน สหกรณ์ สอนเรื่องการเก็บออม สร้างกลุ่มเครือข่าย ช่วยกันออมเงินเพื่อนำมาปันผลรายได้และช่วยเหลือคนในชุมชน ทำให้ไม่เป็นหนี้นอกระบบ ศาสตร์ด้านการดนตรี ดนตรีเป็นศิลปะที่สำคัญ และนำมาใช้ขัดเกลาจิตใจคนได้สามารถเพิ่มทักษะเชาวน์ให้สูงขึ้น ศาสตร์ด้านการกีฬา การออกกำลังกายเล่นกีฬาทำให้สุขภาพแข็งแรง สุขภาพจิตดี รู้ถึงน้ำใจนักกีฬา ศาสตร์ด้านจิตอาสา อาสาสมัครถือเป็นบุคคล หน่วยงานสำคัญที่ช่วยเหลือสังคมได้เป็นอย่างยิ่ง
และเมื่อวันที่ 3 ม.ค.2561 พ.ต.อ.สิงห์ สิงห์เดช ได้เปิดโครงการศาสตร์พระราชา ด้านการกีฬาต่อต้านยาเสพติด โดยจัดการแข่งขันฟุตบอลเยาวชน โรงเรียนในเขตพื้นที่คันนายาว12โรงเรียน เพื่อสร้างความรักสามัคคีแก่ชุมชน ลดช่องหว่างระหว่างตำรวจและประชาชน ส่งเสริมร่างกายให้แข็งแรง รู้จักแพ้ ชนะ อภัย อักด้วย
ล่าสุด พ.ต.อ.สิงห์ สิงห์เดช ได้ออกมาร่ายยาวชี้แจงกรณีประเด็นเกี่ยวกับ “เสก โลโซ”ในเฟสบุ๊คส่วนตัว ดังนี้
กระผมขอใช้พื้นที่เฟสบุ๊คส่วนตัวชี้แจงเกี่ยวกับคดีเสก โลโซ ครับ
ตามที่มีการจับกุม นาย เสกสรรค์ ศุขพิมาย หรือเสก โลโซ แล้วปรากฏว่ามีภาพถ่ายที่กระผม พร้อมด้วย พล.ต.ต.ประสพโชค พร้อมมูล ข้าราชการเกษียณ ,นาย เกียรติคุณ ทักษิณนุกุลวงศ์ และ นาย เสกสรรค์ ศุขพิมาย ถ่ายรูปนั่งบนโซฟาร่วมกัน กระผมขอชี้แจงดังนี้
ประเด็นที่ 1 การตรวจปัสสาวะของผู้ต้องหา ตามกฎหมายแล้วจะต้องได้รับการยินยอมของผู้ต้องหา ซึ่งกรณีของนาย เสกสรรค์ฯ กระผมได้ใช้จิตวิทยาในการสืบสวนสอบสวนให้นาย เสกสรรค์ฯ ยินยอมให้ทำการตรวจปัสสาวะต่อหน้าทนายความ ซึ่งหากนาย เสกสรรค์ฯ ไม่ยินยอมให้ตรวจก็ไม่สามารถบังคับได้ตามกฎหมาย แตกต่างจากความผิดตามกฎหมายจราจร หากผู้ขับไม่ยินยอมเป่าตรวจปริมาณแอลกอฮอล์ ก็ให้สันนิษฐานว่า ได้กระทำความผิด จากผลการตรวจปัสสาวะของนาย เสกสรรค์ฯก็พบว่า เป็นสีม่วง เป็นสิ่งที่บ่งบอกว่า กระผมไม่ได้ให้ความช่วยเหลือนายเสกสรรค์ฯ แต่อย่างใด
ประเด็นที่ 2 มีการลงประจำวันควบคุมตัวนาย เสกสรรค์ฯ เวลา 23.00 น.ของวันที่ 31 ธ.ค.2560 ผู้ต้องหาซึ่งถูกปฏิบัติการจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ และหน่วยอรินทราช เข้าตรวจค้นจับกุม ย่อมต้องอยู่ในความเครียด และพนักงานสืบสวนสอบสวนต้องทำงานต่อเนื่องยันเช้าของวันที่ 1 ม.ค.2561 เนื่องจากวันหยุดยาวในช่วงเทศกาลปีใหม่ และศาลจังหวัดมีนบุรีเปิดทำการเพียงครึ่งวันของวันที่ 1 ม.ค.2561 เนื่องจากต้องนำตัวนาย เสกสรรค์ฯ ไปฝากขังในเวลา 08.00 น. ซึ่งมีเวลาเพียง 9 ชั่วโมง ถึงแม้ศาลจะให้เวลาในการควบคุมตัวผู้ต้องหา 48 ชั่วโมง แต่ในทางปฏิบัติจริงไม่สามารถทำได้ด้วยเงื่อนไขดังกล่าว จึงต้องให้พล.ต.ต.ประสพโชค พร้อมมูล ซึ่งเป็นผู้ที่เคยนำตัวนาย เสกสรรค์ฯ ไปบำบัดเกี่ยวกับยาเสพติดมาก่อน และให้นาย เกียรติคุณ ทักษิณนุกูลวงศ์ ผู้บริหารแกรมมี่ ซึ่งนาย เสกสรรค์ ให้ความเคารพนับถือเข้าเยี่ยม ซึ่งเป็นสิทธิตามกฎหมาย และห้องที่เข้าเยี่ยมดังกล่าวเป็นภายในห้องสืบสวนของ สน.คันนายาว ก็ด้วยเหตุผลข้อจำกัดของเวลา
ประเด็นที่ 3 จากภาพที่มีการยกนิ้วหัวแม่มือ ทำให้มีการตีความไปกันหลายประเด็น ขอชี้แจงว่า เป็นกรณีที่นาย เสกสรรค์ฯ ขอให้ถ่ายภาพยืนยันว่า ตนเองจะกลับเนื้องกลับตัวเป็นคนดีให้เป็นตัวอย่างที่ดีของเยาวชน โดยถ่ายด้วยกล้องจากโทรศัพท์มือถือของนายเสกสรรค์ฯ ภาพที่ปรากฏดังกล่าวนาย เสกสรรค์ฯเป็นผู้นำไปโพสต์ลงเฟสบุ๊คของตนเอง กระผมและข้าราชการตำรวจ สน.คันนายาว ไม่ได้เป็นผู้นำเอาไปโพสต์แต่อย่างใด และสิ่งของที่อยู่บนโต๊ะ หากขยายภาพดูแล้ว จะมีเพียงเครื่องดื่มชูกำลัง น้ำดื่มและถ้วยกาแฟ ไม่มีเครื่องดื่มที่เป็นแอลกอฮอลล์ หรืออาหารแต่อย่างใด ซึ่งสิ่งของดังกล่าวเป็นของเจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายสืบสวนที่ดื่มกันระหว่างทำงานแล้วยังไม่ได้เก็บทิ้ง การยกนิ้วดังกล่าวมิได้เป็นการชื่นชมพฤติกรรมของนาย เสกสรรค์ฯ แท้จริงแล้วเป็นวิธีทางการสืบสวนเพื่อให้ได้ข้อเท็จจริง ซึ่งต้องใช้เทคนิคจิตวิทยา เพื่อให้นายเสกสรรค์ เกิดความไว้วางใจ ผ่อนคลายแล้วให้ข้อมูลต่างๆ เนื่องจากนายเสกสรรค์ฯ ได้ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา และไม่ให้การในรายละเอียดต่อพนักงานสอบสวน แต่ในทางการสืบสวนนายเสกสรรค์ฯให้ข้อมูลนอกสำนวนต่อกระผมในหลายเรื่อง ซึ่งไม่ขอเปิดเผย
ประเด็นที่ 4 เนื่องจากคดีของนาย เสกสรรค์ฯ ที่ถูกดำเนินคดีในข้อหา ต่อสู้เจ้าพนักงานฯ และมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต และข้อหาเพิ่มเติม ในความผิดฐาน เสพยาเสพติดให้โทษฯ ความผิดดังกล่าว มีรัฐเป็นผู้เสียหายฝ่ายเดียว ไม่มีราษฎรเป็นผู้เสียหาย การสืบสวนสอบสวนเพื่อให้ได้ข้อเท็จจริง จึงต้องสร้างความไว้วางใจ แตกต่างจากคดี “เปรี้ยวหั่นศพ” ซึ่งมีราษฎรคือญาติของผู้ตายเป็นผู้เสียหาย เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงต้องดำรงตนด้วยความเป็นกลาง ไม่ให้มีภาพแสดงว่าไปเข้าข้างฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด ซึ่งกระผมได้กำชับผู้ใต้บังคับบัญชาอยู่เสมอว่า มิให้ไปสร้างสัมพันธ์กับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ให้ดำรงตนเป็นกลางและให้ความยุติธรรมกับทุกฝ่าย
กระผมขอยืนยันว่า นาย เสกสรรค์ฯ ไม่ได้รับสิทธิพิเศษต่างจากผู้ต้องหารายอื่น ในทางตรงกันข้าม ในคดีนี้กระผมต้องลงมากำกับการทำงานด้วยตนเอง เนื่องจากเป็นผู้มีชื่อเสียง เป็นที่สนใจของประชาชน ดังนั้นการทำงานจึงต้องใช้ความละเอียดรอบครอบและให้เป็นไปตามกฎหมาย เพราะพี่น้องประชาชนกำลังจับตามองการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งจะเห็นได้ว่า เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจนำตัวนายเสกสรรค์ไปขอฝากขังต่อศาลแล้ว ขออนุญาตศาลนำตัวมาควบคุม ก็ได้นำตัวนายเสกสรรค์เข้าควบคุมตัวในห้องขัง มีการลงสารบบการควบคุมตัวผู้ต้องหาถูกต้องตามระเบียบ ซึ่งก็ปรากฏภาพจากสื่อต่างๆ แล้วว่า ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ จังหวัดนครศรีธรรมราช มารับตัวนายเสกสรรค์ ออกจากห้องขังของ สน.คันนายาว จึงยืนยันได้ว่า นายเสกสรรค์ฯ มิได้มีสิทธิพิเศษต่างจากผู้ต้องหารายอื่นแต่อย่างใด
กระผมรับราชการตำรวจอยู่ในสายงานสอบสวนมาโดยตลอด เคยรับราชการที่ สน.ดอนเมือง สน.สายไหม สน.บางเขน เป็นเวลา 12 ปี จากนั้นได้ย้ายไปปฏิบัติหน้าที่ กองบังคับการปราบปราม เป็นเวลา 10 ปี ก่อนย้ายมาดำรงตำแหน่ง ผกก.สน.คันนายาว สืบสวนสอบสวนคดีสำคัญต่างๆ มากมาย ทั้งคดีปราบปรามผู้มีอิทธิพลระดับประเทศ คดีความมั่นคง ซึ่งพี่น้องประชาชนสามารถดูข้อมูลได้จากเว็บไซต์ทางอินเตอร์เน็ต ขอให้เชื่อมั่นในการปฏิบัติหน้าที่ของกระผมและเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.คันนายาว กระผมมีหลักในการปฏิบัติหน้าที่ บางครั้งการสืบสวนสอบสวนต้องใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์ในการทำงาน จึงจะได้ข้อเท็จจริงเพื่อพิสูจน์ความผิดหรือความบริสุทธิ์ของผู้ต้องหา และตราบใดที่ศาลยังไม่ได้มีคำพิพากษา ก็ถือว่าผู้ต้องหายังบริสุทธิ์อยู่ กระผมมีหลักในการทำงาน โดยให้ยึดหลักกฎหมายเป็นสำคัญ ซึ่งจะเป็นเกราะกำบัง อธิบายต่อผู้บังคับบัญชาและประชาชนได้ และกระผมคิดเสมอว่า ไม่มีผู้เสียหาย หรือผู้ต้องหารายใด โกรธเกลียดเจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งได้ปฏิบัติไปตามอำนาจหน้าที่
หากภาพดังกล่าวที่ปรากฏ ทำให้พี่น้องประชาชนเกิดความไม่สบายใจ มีการตีความกันหลายอย่าง รวมถึงคิดว่ากระผมชื่นชมพฤติกรรมของนาย เสกสรรค์ฯ กระผมก็ขอกราบขออภัย มา ณ โอกาสนี้ด้วย และขณะนี้กระผมได้ไปช่วยราชการที่ ศูนย์ปฏิบัติการ กองบังคับการตำรวจนครบาล 2 ไม่มีอำนาจทำการสืบสวนสอบสวนคดีดังกล่าวแล้ว จึงขอยุติการให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนทุกแขนง ขอให้เป็นหน้าที่ของผู้ที่ได้รับมอบหมายหน้าที่นี้ต่อไปครับ
พ.ต.อ.สิงห์ สิงห์เดช
ผกก.สน.คันนายาว ช่วยราชการ ศปก.บก.น.2
สำนักข่าวกะฉ่อนดอทคอม ชายนพ by กะฉ่อน รายงาน